CPM ย่อมาจาก “Cost Per Mille” โดย Mille แปลว่า 1,000 ในภาษาละติน ความหมายของ CPM คือ ค่าใช้จ่ายเมื่อโฆษณาถูกแสดงครบทุก 1,000 ครั้ง ไม่ว่าจะมีคนคลิกหรือไม่ก็ตาม การคิดแบบนี้เหมาะกับแคมเปญที่ต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) หรือเพิ่มการมองเห็นในวงกว้าง เช่น การโปรโมตสินค้าใหม่ หรือบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ให้คนรู้จัก
จุดเด่นของ CPM
- เหมาะกับโฆษณาประเภทวิดีโอ ภาพเคลื่อนไหว หรือแบนเนอร์
- ใช้งบไม่มากก็สามารถกระจายโฆษณาได้กว้าง
- ช่วยสร้างความคุ้นเคยให้ผู้ชมได้เห็นโฆษณาซ้ำหลายรอบ
ข้อเสียที่ต้องระวังคือ แม้จะมีการแสดงผลมาก แต่ถ้าคอนเทนต์ไม่น่าสนใจหรือไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ก็อาจไม่เกิดการคลิกหรือซื้อสินค้า ทำให้เสียงบแบบเปล่าประโยชน์ได้
CPC คืออะไร? จ่ายเฉพาะเมื่อมีคนคลิกโฆษณา
CPC หรือ “Cost Per Click” คือค่าที่คุณต้องจ่ายเมื่อมีคนคลิกที่โฆษณาเท่านั้น ต่างจาก CPM ที่คิดจากการแสดงผล CPC เหมาะกับแคมเปญที่ต้องการดึง Traffic เข้าสู่เว็บไซต์ หรือ Landing Page เพื่อให้ผู้ชมได้อ่านข้อมูลเพิ่มเติม หรือทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น สมัครอีเมล ดาวน์โหลดเอกสาร หรือดูวิดีโอ
การเลือกใช้ CPC มีข้อดีคือ
- ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายกว่าแบบอื่น เพราะจ่ายตามการกระทำจริง
- ได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนคลิกที่จับต้องได้
- เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการวัดค่า CTR (Click Through Rate)
แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกัน ถ้า Landing Page โหลดช้า หรือไม่ชัดเจนพอ ผู้ชมที่คลิกเข้ามาอาจไม่ทำอะไรต่อ ซึ่งทำให้เสียเงินคลิกไปฟรี ๆ
CPA คืออะไร? จ่ายเมื่อเกิด Conversion เท่านั้น
CPA หรือ “Cost Per Action” คือการจ่ายเงินเมื่อมี “การกระทำ” ที่กำหนดเกิดขึ้น เช่น การซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก หรือการกรอกแบบฟอร์ม การคิดค่าใช้จ่ายแบบ CPA นั้นถือเป็นวิธีที่เหมาะกับแคมเปญที่เน้นผลลัพธ์เป็นหลัก เช่น การขายสินค้าออนไลน์ หรือการทำแคมเปญเก็บ Lead
สิ่งที่ทำให้ CPA ได้รับความนิยมคือ
- เสียเงินเมื่อเกิดผลลัพธ์จริงเท่านั้น
- วัดความคุ้มค่าได้แบบชัดเจน เช่น ต้นทุนต่อ 1 การซื้อ
- เหมาะกับผู้ที่มีระบบ Tracking หรือ Pixel ติดตั้งสมบูรณ์
ข้อจำกัดของ CPA คือการตั้งค่าที่ซับซ้อนกว่าแบบอื่น เพราะต้องใช้ระบบติดตามผลลัพธ์ (Conversion Tracking) และในบางกรณี ค่าใช้จ่ายต่อ Conversion อาจสูง หากกลุ่มเป้าหมายไม่แม่นยำหรือหน้าเว็บไซต์ไม่มีประสิทธิภาพ
สรุป: เลือกวิธีคิดค่าแอดให้ตรงกับเป้าหมาย
การยิงโฆษณาออนไลน์ไม่ใช่แค่เลือกครีเอทีฟหรือกลุ่มเป้าหมาย แต่การเข้าใจโมเดลการคิดค่าใช้จ่ายอย่าง CPM / CPC / CPA จะช่วยให้คุณใช้เงินได้คุ้ม และได้ผลลัพธ์ตรงตามที่ต้องการ
แนะแนวทางเลือกแบบเข้าใจง่าย
- เน้นการมองเห็นกว้างๆ → ใช้ CPM
- เน้น Traffic เข้าเว็บไซต์ → เลือก CPC
- เน้นผลลัพธ์ที่ชัดเจน → จัดไปที่ CPA
เคล็ดลับสำหรับมือใหม่
- เริ่มจากแคมเปญ CPC เพื่อวัดความสนใจ
- อย่าลืมติดตั้ง Facebook Pixel หรือ Google Tag ให้เรียบร้อยก่อนทำ CPA
- ค่อยๆ เก็บสถิติ และทดสอบหลายรูปแบบก่อนตัดสินใจขยายงบ
การรู้จักศัพท์เหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้คุณวางแผนโฆษณาได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้เข้าใจกลยุทธ์ของคู่แข่ง และต่อยอดการตลาดออนไลน์ได้แบบมีชั้นเชิง