Google Ads vs Facebook Ads เลือกแพลตฟอร์มโฆษณาไหนให้ ROI สูงสุด

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจออนไลน์สูงขึ้น การเลือกแพลตฟอร์มโฆษณาที่เหมาะสมกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจ Google Ads และ Facebook Ads เป็นสองแพลตฟอร์มหลักที่ผู้ประกอบการนิยมใช้มากที่สุด แต่การตัดสินใจเลือกใช้แพลตฟอร์มใดจะช่วยให้ได้ Return on Investment (ROI) สูงสุดนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

บทความนี้จะวิเคราะห์เปรียบเทียบ Google Ads และ Facebook Ads ในปีนี้ อย่างละเอียด พร้อมแนวทางการเลือกใช้ที่เหมาะสมกับประเภทธุรกิจต่างๆ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล และเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนด้านการตลาดดิจิทัลของคุณ

ภาพรวมตลาดโฆษณาดิจิทัล ที่ต้องทำในปีนี้

ตลาดโฆษณาดิจิทัลโลกในปีนี้ มีมูลค่าถึง 876 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Google ครองส่วนแบ่งตลาด 28.6% และ Meta (Facebook) ครอง 20.5% ตามรายงานจาก eMarketer การเติบโตของตลาดโฆษณาดิจิทัลยังคงแรงจากการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้น

ในประเทศไทย ตลาดโฆษณาดิจิทัลมีมูลค่าประมาณ 25,000 ล้านบาท โดยผู้ประกอบการไทยใช้งบโฆษณาผ่าน Google Ads เฉลี่ย 35% และ Facebook Ads 40% ของงบโฆษณาดิจิทัลทั้งหมด แนวโน้มการใช้งานแพลตฟอร์มทั้งสองยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ลักษณะการใช้งานมีความแตกต่างตามประเภทธุรกิจ

จุดแข็งของ Google Ads

Google Ads มีจุดแข็งหลักคือการเข้าถึงผู้ที่มี search intent สูง เนื่องจากผู้ใช้ที่ค้นหาใน Google มักมีความต้องการซื้อสินค้าหรือใช้บริการอยู่แล้ว การแสดงโฆษณาในช่วงเวลานี้จึงมีโอกาสแปลงเป็นยอดขายสูงกว่า สถิติแสดงว่า conversion rate จาก Google Ads อยู่ที่ 3.75% เฉลี่ย ซึ่งสูงกว่า Facebook Ads ที่อยู่ที่ 1.85%

ความหลากหลายของรูปแบบโฆษณาเป็นอีกจุดแข็งสำคัญ Google Ads มี Search Ads สำหรับจับกลุ่มคนที่ค้นหา Display Ads สำหรับสร้างความตระหนักรู้ Shopping Ads สำหรับ e-commerce YouTube Ads สำหรับเนื้อหาวิดีโอ และ Performance Max Campaigns ที่ใช้ AI ในการปรับแต่งโฆษณาอัตโนมัติ

ระบบการวัดผลของ Google Ads มีความแม่นยำสูง เนื่องจากสามารถติดตาม conversion ได้ครบวงจรตั้งแต่การคลิกโฆษณาจนถึงการซื้อ การรายงานผลที่ละเอียดช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปรับปรุงแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จุดอ่อนของ Google Ads

ต้นทุนการโฆษณาที่สูงเป็นจุดอ่อนหลักของ Google Ads โดยเฉพาะใน keyword ที่มีการแข่งขันสูง เช่น insurance, lawyer, หรือ mortgage ที่มี cost per click (CPC) สูงถึง 50-100 ดอลลาร์ต่อคลิก การแข่งขันที่รุนแรงทำให้ธุรกิจขนาดเล็กอาจไม่สามารถแข่งขันได้

ความซับซ้อนในการจัดการแคมเปญเป็นอีกปัญหาหนึ่ง Google Ads มีตัวเลือกและการตั้งค่าที่มากมาย ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในเรื่อง keyword research, bid management, และ account structure ที่ดี ธุรกิจที่ไม่มีทีมผู้เชี่ยวชาญอาจได้ผลลัพธ์ที่ไม่คุ้มค่า

การพึ่งพาคำค้นหาทำให้ Google Ads ไม่เหมาะกับสินค้าหรือบริการใหม่ที่คนยังไม่รู้จัก หรือสินค้าที่ผู้บริโภคไม่ได้มีเจตนาค้นหาเป็นการเฉพาะ

จุดแข็งของ Facebook Ads

ระบบ targeting ของ Facebook Ads เป็นจุดแข็งที่โดดเด่นที่สุด ด้วยข้อมูลผู้ใช้ที่ครอบคลุมครบถ้วน Facebook สามารถแบ่งกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียด ตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐานอย่างอายุ เพศ สถานที่ ไปจนถึงความสนใจ พฤติกรรมการซื้อ และ connection กับเพจต่างๆ Lookalike Audience ช่วยให้หาลูกค้าใหม่ที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ต้นทุนการโฆษณาที่ต่ำกว่าทำให้ Facebook Ads เหมาะกับธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด โดยเฉพาะการสร้าง brand awareness และการเข้าถึงผู้คนจำนวนมาก CPC เฉลี่ยของ Facebook Ads อยู่ที่ประมาณ 1-2 ดอลลาร์ ต่ำกว่า Google Ads อย่างชัดเจน

รูปแบบโฆษณาที่หลากหลายและดึงดูดสายตาเป็นจุดแข็งสำคัญ Facebook Ads รองรับ image ads, video ads, carousel ads, collection ads, และ instant experience ads ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการได้อย่างสร้างสรรค์และน่าสนใจ

จุดอ่อนของ Facebook Ads

ผู้ใช้ Facebook มักไม่มีเจตนาซื้อในขณะที่เห็นโฆษณา เพราะกำลังใช้งานเพื่อความบันเทิงหรือติดตามเพื่อนฝูง การแปลงเป็นยอดขายจึงต้องใช้เวลาและกระบวนการมากกว่า แคมเปญส่วนใหญ่มักต้องผ่านขั้นตอน awareness ก่อนจึงจะเกิด conversion

การเปลี่ยนแปลงนโยบาย privacy ของ Apple iOS 14.5+ ส่งผลกระทบต่อการติดตาม conversion บน Facebook Ads ทำให้การวัดผลมีความแม่นยำลดลง และการปรับแต่งแคมเปญทำได้ยากขึ้น ผู้ลงโฆษณาหลายรายรายงานว่า cost per acquisition เพิ่มขึ้น 15-20%

การพึ่งพาอัลกอริธึมของ Facebook ทำให้ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่คาดคิด การอัปเดตอัลกอริธึมอาจส่งผลต่อ reach และ cost ของแคมเปญ ธุรกิจที่พึ่งพา Facebook Ads เป็นหลักต้องมีแผนสำรองเสมอ

กลยุทธ์การใช้งานทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกัน

การใช้ Google Ads และ Facebook Ads ร่วมกันอย่างมีกลยุทธ์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดโดยรวม การแบ่ง funnel ตาม customer journey เป็นวิธีที่ได้ผลดี โดยใช้ Facebook Ads สำหรับ awareness stage Google Ads สำหรับ consideration และ decision stage

Cross-platform remarketing เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูง การใช้ Facebook Pixel และ Google Analytics ร่วมกันช่วยให้สามารถติดตามผู้ใช้ข้าม platform และสร้างแคมเปญ retargeting ที่ครอบคลุมมากขึ้น

การแบ่งงบประมาณแนะนำให้เริ่มจาก 60:40 หรือ 70:30 ตามลักษณะธุรกิจ แล้วค่อยปรับตาม performance ที่วัดได้จริง การทดสอบ A/B อย่างต่อเนื่องจะช่วยหาสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุด

การวัดผลและปรับปรุงประสิทธิภาพ

KPI ที่ควรติดตามสำหรับ Google Ads ได้แก่ Quality Score, CTR, CPC, Conversion Rate, และ ROAS โดยเฉพาะ Quality Score ที่ส่งผลต่อ ad rank และต้นทุนโฆษณาโดยตรง การปรับปรุง ad copy, landing page relevance, และ expected CTR จะช่วยเพิ่ม Quality Score

สำหรับ Facebook Ads ควรติดตาม Relevance Score, CPM, CTR, CPC, และ Cost per Result การใช้ Facebook Analytics และ Facebook Attribution ช่วยให้เข้าใจ customer journey และปรับแต่งแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้เครื่องมือ third-party เช่น Google Data Studio, Facebook Business Manager, และ analytics platform ต่างๆ จะช่วยรวบรวมข้อมูลจากทั้งสองแพลตฟอร์มมาวิเคราะห์ในที่เดียว การมี unified dashboard จะช่วยให้เห็นภาพรวมของการลงทุนและผลตอบแทนได้ชัดเจนขึ้น